ทริป”หลงรักษ์ประจวบ” ตอน จากภูผาสู่สมุทร เราจะพาทุกท่านไปที่ อำเภอกุยบุรี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์เท่าไรนัก เชื่อว่าหลายๆคนถ้ามีเวลาพักผ่อนต้องนึกถึงทะเลและภูเขา ประจวบคีรีขันธ์เป็นอีกหนึ่งสถานที่ของการพักผ่อนที่ไม่ได้มีดีแค่ทะเลนะจ๊ะ 

ทริป”หลงรักษ์ประจวบ” เกิดขึ้นจากแนวคิดของนายอุดมสุข นิ่มเซียน นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ในปี 2561 นี้การกำหนดแผนและทิศทางดำเนินการสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีการเชื่อมโยงและการผลักดัน ภาครัฐ ภาคเอกชนให้มีการบูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีชุมชน และการท่องเที่ยวให้เป็นไปอย่างยั่งยืน

 

สถานที่แรกของประจวบวันนี้เราจะพาไปตามชื่อเลยจากภูผาสู่สมุทรเราจะไปขึ้นเขากันก่อนเลยที่ “เขาช่องกระจก” เป็นภูเขาขนาดย่อมสูง 245 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ตั้งอยู่ริมอ่าวประจวบฯ ในบริเวณ วัดธรรมิการามวรวิหาร ยอดเขามีช่องทะลุโปร่งคล้ายกรอบกระจก

ทางขึ้นเป็นบันไดคอนกรีต จำนวน 396 ขั้น บนยอดเขาประดิษฐานรอยพระพุทธบาท จำลองและพระเจดีย์ ภายในมีพระสถูปบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระราชทานและเสด็จพระราชดำเนินขึ้น บันไดไปยังพระเจดีย์บนยอดเขา ทรงประกอบพิธีบรรจุ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2501 พร้อมทั้ง ทรงปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไว้ ณ บริเวณนั้น จากลานยอดเขานี้เอง เห็นทิวทัศน์เขาตะนาวศรี อ่าวประจวบฯ เขาตาม่องล่าย เขาล้อมหมวก และตัวเมืองประจวบฯ ได้โดยรอบ

น้องไนซ์มัคคุเทศก์น้อยของเรา เรียนหนังสือ และทำงานขายอาหารลิงให้กับนักท่องเที่ยว ทำงานหาเงินทุกวัน ส่วนถ้านักท่องเที่ยวให้นำทางไปยังช่องกระจกนั้น ไม่มีราคาตายตัวแล้วแต่ว่านักท่องเที่ยวจะให้เท่าไหร่

มาต่อกันเลยกับอีกหนึ่งสถานที่ของสายลุย “ถ้ำพระยานคร” ห่างจากที่ทำการอุทยานเขาสามร้อยยอด ไปทางทิศเหนือประมาณ 17 กิโลเมตร  หรืออยู่ห่างจากหาดแหลมศาลาตามเส้นทางเดินเท้าขึ้นเขาประมาณ 500 เมตร 

นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางโดยทางเรือ โดยเช่าเรือจากหมู่บ้านบางปู ไปยังหาดแหลมศาลา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ราคาไป-กลับ 400 บาทต่อลำ (8 คน) หรือ จากบ้านบางปูเดินข้ามเขาเทียนเป็นระยะทางประมาณ 530 เมตรไปยังหาดแหลมศาลา จากชายหาดแหลมศาลามีทางเดินขึ้นเขาไปยังถ้ำพระยานครอีก 430 เมตร

ระหว่างทางมีบ่อน้ำกรุด้วยอิฐดินเผารูปสี่เหลี่ยมคางหมู  กว้าง 1 เมตร ลึก 4 เมตร เรียกว่า “บ่อพระยานคร” ตามประวัติเล่าว่าในสมัยรัชกาลที่ 1 เจ้าพระยานคร ผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราชได้แล่นเรือผ่านทางเขาสามร้อยยอด และเกิดพายุใหญ่ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ จึงจอดพักเรือหลบพายุที่ชายหาดแห่งนี้เป็นเวลาหลายวัน และได้สร้างบ่อน้ำเพื่อใช้ดื่ม

“ถ้ำพระยานคร” เป็นถ้ำขนาดใหญ่ บนเพดานถ้ำมีปล่องให้แสงสว่างลอดเข้ามาได้ จุดเด่นของถ้ำแห่งนี้ คือ “พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์” เป็นพลับพลาแบบจตุรมุข สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 คราวเสด็จประพาสเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2433 เป็นฝีพระหัตถ์ของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์ ทรงสร้างขึ้นในกรุงเทพฯ แล้วส่งมาประกอบทีหลังโดยให้พระยาชลยุทธโยธินเป็นนายงานก่อสร้าง  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมายกช่อฟ้าด้วยพระองค์เอง ที่กำแพงหินด้านขวามีพระปรมาภิไธยย่อในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 เป็นตัวหนังสือใหญ่สีขาวสะดุดตา พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์นับเป็นจุดเด่นของถ้ำพระยานคร และเป็นตราประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบัน 

หลังจากขึ้นเขากันไปแล้วเรามาพักเหนื่อยกันที่ริมหาดสามร้อยยอด ชมวิถีชุมชนกันดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นการใช้ลิงกังเก็บมะพร้าว การทำน้ำปลากู้โลก การทำบ้านปลา สาหร่ายเทียม และการเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่น เป็นต้น

การใช้ลิงกังเก็บมะพร้าวถือเป็นวิถีชุมชนของชาวบ้านอีกอย่างนึงของชาวบ้านที่นี่เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ จะเป็นสวนมะพร้าว 

ส่วนการทำน้ำปลากู้โลก นายอิฐธิรัตน์ จันทร หรือพี่โอ๊ต เล่าให้ฟังว่า น้ำปลากู้โลก ชื่อและที่มาอันเวอร์วังนี้ เกิดจาก การต่อสู้ของกลุ่มประมงชายฝั่งและการอนุรักษ์ชายฝั่งที่มีการ รณรงค์อย่างต่อเนื่องเรื่องการทำประมงปลาเล็กเช่นปลากะตัก ปลาไส้ตัน และเกิดปัญหากระทบกระทั่งอยากบ่อยครั้งระหว่างเรือพานิชย์และเรือเล็กชายฝั่ง จึงได้มีความคิดริเริ่มการทำน้ำปลาขึ้น และได้ขอความอนุเคราะห์ไปยังหน่วยส่งเสริมกรมทรัพยากรทะเลและชายฝั่งจึงได้มีการเรียนและการสอนจนเกิดขึ้นเป็นขั้นตอนของที่มาของชื่อน้ำปลากู้โลก 

การทำบ้าน แพสาหร่ายเทียมฟื้นฟูชีวะภาพ สาเหตุที่เริ่มทำ เกิดจากปัญหาเรื่องปากท้องของชาวบ้านและปัญหาการทะเลาะเรื่องทรัพยากรแย่งชิงที่ทำกินในทะเล จึงเกิดการรวมกลุ่มและหาทางออกซึ่งก็ได้มีการตั้งกลุ่ม “อนุรักษ์ทรัพยากรสามร้อยยอด” เกิดขึ้นมีการหาทางออกต่างๆอย่างมากมาย จึงได้มีการตกผลึกเป็น”บ้านปลาสาหร่ายเทียมฟื้นฟูชีวะภาพ” หลังจากกิจกรรมนี้ได้ดำเนินการโดยมี องค์กรระหว่างประเทศ UNPD และกรมทรัพยากรทะเลและชายฝั่งเป็นพี่เลี้ยงค่อยดูแล กิจกรรมในพื้นที่ ในภายหลังจึงมีการขอทุ่นเพื่อแสดงถึงพื้นที่ที่ได้ทำการฟื้นฟูสัตว์น้ำวัยอ่อนและเก็บงานวิจัยในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องและได้มีการ เชื่อมต่อกับกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมในการทำบ้านปลาและสร้างจิตสำนึกของนักท่องเที่ยวที่ได้มาในพื้นที่อีกด้วย นอกจากแพสาหร่ายเทียมฟื้นฟูชีวะภาพจะช่วยฟื้นฟูสัตว์น้ำวัยอ่อนแล้วยังทำให้ชาวบ้าน มีรายได้จากหอยแมลงภู่ที่มาเกาะบริเวณสาหร่ายเทียมและนักท่องเที่ยวที่มาร่วมทำกิจกรรมนั้นเอง หลังจากที่กลุ่มได้ขายหรือเก็บเงินนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งจะแบ่งมาเพื่อเข้ากลุ่มวิสาหกิจของชุมชนและกลุ่มการท่องเที่ยวเพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆในหมู่บ้านอีกด้วย

การเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่น เป็นอีกหนึ่งช่องทางทำมาหากินของชาวบ้านที่นำสาหร่ายพวงองุ่นมาเลี้ยงไว้ในบ่อปูนที่มีน้ำเค็มจากทะเลและออกซิเจนเพื่อการขยายพันธุ์  คุณยายเล้งบอกว่า 1 ลังไข่ จะได้ปริมาณสาหร่าย 3-4 กิโลกรัม และใช้ระยะเวลาในการเติบโต 4-5 อาทิตย์ และมีการสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง จากร้านอาหารและคนทั่วไปละแวกนั้นๆ ถ้าท่านสนใจ โทรหายายเล้งสั่งซื้อได้ได้ที่ 081-173-3958

หลังจากพักผ่อนชมวิถีชุมชนไปแล้ว เรามาลงสมุทรกันเลย เราจะไปกันที่เกาะจาน เกาะท้ายทรีย์และเกาะเหลือบ ไปดำน้ำดูประการัง ซึมซับธรรมชาติในแบบที่ต้องหลงรักไม่รู้ลืม เกาะจานและเกาะท้ายทรีย์ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่การดูแลของอุทยานแห่งชาติหาดวนกร จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากๆ เต็มไปด้วยพืชพรรณต่างๆ รวมไปถึงใต้ท้องทะเลที่เต็มไปด้วยแนวปะการังที่สวยงามอยู่รอบๆเกาะ และเป็นแหลงที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลต่างๆ มากมาย

เกาะจานอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 7 กิโลเมตร นั่งเรือสปีดโบ๊ทไปใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็ถึง มีเนื้อที่ประมาณ 80 ไร่ บนเกาะมีลักษณะเป็นภูเขาและมีหาดทรายสีขาวยาวประมาณ 100 เมตร สามารถเดินเล่นและดำน้ำดูปะการังได้ แต่ไม่อนุญาตให้เดินเที่ยวชมในส่วนอื่นๆของเกาะ(เพราะเป็นเกาะที่ได้รับสัมปทานรังนก) และห่างจากเกาะจานเพียง 300 เมตร จะมีเกาะอีกเกาะนึงชื่อว่า เกาะท้ายทรีย์ มีเนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ เท่านั้น บริเวณรอบๆก็มีธรรมชาติใต้ท้องทะเลที่สวยงามเช่นกัน

ขึ้นภูผาชมวิถีชุมชนลงสมุทรกันไปแล้วเชื่อว่าหลายๆคนคงหมดแรงอยากจะพักผ่อนเต็มที่ วันนี้เราขอนำเสนอที่พักที่ไปแล้วจะร้องว้าว!! อะเมซิ่งมากจริงๆ คือที่วาฏิกา แอดเวนเจอร์ รีทรีทติค รีสอร์ท ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ที่พักผ่อน ถ้าท่านยังมีแรงเหลือก็สามารถเล่นกิจกรรมแอดเวนเจอร์ ที่ทางรีสอร์ทมีจัดเตรียมไว้ให้ได้

หรืออยากพักผ่อนชิวๆแช่สระน้ำหลังห้องก็ทำได้สบายเพียงเปิดประตูออกมาก็จะพบกับสระน้ำหลังบ้านที่ฟินเว่อร์ ห้องพักก็สะอาดสะดวกสบาย  ใกล้ชิดธรรมชาติ แบบนี้ต้องบอกว่า หลงรักษ์ประจวบหลงรักวาฏิกาซะแล้วล่ะ 

นอกจากนี้ทางรีสอร์ทยังมีกิจกกรมกินลมห่มทราย ใช้ธรรมชาติบำบัดร่างกายอีกด้วย

หรือท่านอยากจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในโครงการ วาฏิกา 9,999 ล้านดวงใจ ไข่ปูม้า เพียงท่าน 1 คน ปล่อยปู 1 ตัว จะได้ปูคืนสู่ธรรมชาติถึง 5 หมื่นตัว เพียงท่านเเจ้งพนักงานว่าอยากปล่อยปู ก็สามารถเข้าร่วมเป็น 1 ในโครงการ มาหลงรักษ์ประจวบ หลงรักษ์ธรรมชาติ  และหลงรักวาฏิกากันนะค่ะ สามารถโทรสอบถามรายละเอียด หรือ จองกันได้ที่ โทร. 032820164-7 หรือ มือถือ 081804268 หรือคลิกได้ที่ vartikaadventure 

♥ ขอขอบคุณ  นายอุดมสุข นิ่มเซียน นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่จัดกิจกรรมดีๆแบบนี้ให้พวกเราได้ไปสัมผัสและหลงรักอย่างไม่รู้ลืม ♥ ♥ ♥ ♥