คุณเคยคิดไหมครับว่าบ้านที่ลงตัวกับคนไทยสมัยนี้มันจะเป็นอย่างไร ? ขอเชิญพบกับ   IDEA Concept บ้านหลังใหม่ของสัมมากร บ้านที่สร้างจากข้อมูลพฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนไทย พวกเขาเข้าใจดีว่าตลอด 50 ปีที่ผ่านที่อยู่อาศัยแบบเดิมมันไม่ตอบโจทย์ เพราะด้วยกระแสของการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างในยุคปัจจุบันทำให้การแข่งขันในโลกธุรกิจนั้นมีความต้องการทั้งในเชิงคุณภาพและความรวดเร็วเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวคนต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแข่งขันกับเวลานอกจากนั้นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่บรรจุอยู่ในอุปกรณ์สมาร์ทดีไวซ์ต่างๆทำให้ผู้คนพร้อมที่จะทำงานได้ทุกที่ทุกเวลาและถูกตามตัวหรือตามงานได้ง่ายขึ้นไปอีก 

          สิ่งที่ตามมาจากการต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันในเวลาที่จำกัดก็คือจำนวนเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาที่ใช้ร่วมกับครอบครัวถูกลดลงจนแทบไม่เหลือต่างคนต่างต้องทำงานเพื่อหาเงินให้ทันค่าครองชีพสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว 

          เมื่อคนในวัยทำงานอย่างพ่อแม่ไม่มีเวลาให้กับสถาบันพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในสังคมอย่างครอบครัวสมาชิกที่เหลือจึงต้องแสวงหาความสุขและสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับคนภายนอกผ่านสื่อสังคมออนไลน์และเหล่าแอพพลิเคชั่นที่ตบเท้าเข้ามาแย่งพื้นที่และเวลาของเราเราจึงได้เห็นความสัมพันธ์ภายในครอบครัวของคนในยุคสมัยนี้ที่ระยะห่างระหว่างสมาชิกถูกถ่างให้กว้างขึ้นอย่างมีนัยยะแต่ละคนต่างต้องการเวลาส่วนตัวมากขึ้นรวมถึงระบบการขนส่งที่ถูก disrupt จนเกิดเป็นยุคที่แอพพลิเคชั่นต่าง ๆทำให้เราสะดวกจนไม่ต้องคำนึงถึงคนในครอบครัวในการจัดการเรื่องอาหารแบบคนสมัยก่อนอีกต่อไปแต่ละคนสามารถเลือกทานอาหารในแบบที่ชอบและเวลาที่ใช่ได้ด้วยตัวเอง

          จากความเปลี่ยนแปลงที่ว่ากลายเป็นที่มาของ ‘The Broken Home’  โครงการบ้านพักอาศัยที่ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด ‘บ้านที่เหมาะกับพฤติกรรมคนในปัจจุบัน’ ที่ IF และชูใจ ร่วมกันรับหน้าที่ออกแบบพื้นที่อันแสนคุ้นเคยแห่งนี้ให้สามารถสร้างประโยชน์สูงสุด และตอบรับกับวิถีชีวิตของคนในปัจจุบันที่เรียนรู้ที่จะค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่ใช่และไม่ใช่สำหรับบ้านของพวกเขา 

          The Broken Home ถูกออกแบบให้เป็นบ้านในฟอร์มมินิมอลทรงกล่องที่เรียบง่าย มีการจัดองค์ประกอบภายในให้สอดคล้องไปกับรูปแบบการใช้ชีวิตของของสมาชิกในบ้าน โดยความพิเศษของบ้านหลังนี้ก็คือการยกไลฟ์สไตล์และรูปแบบความสัมพันธ์ของครอบครัวคนไทยในยุค Digital Disruption มาเป็นตัวนำในการออกแบบ 

          (1)จากสถิติที่คนไทยในปัจจุบันใช้เวลาไปกับครอบครัวเพียง 3 ชั่วโมง ซึ่งคิดเป็น 12% ของเวลาทั้งหมด ทำให้ครอบครัวจากที่มีความสัมพันธ์แบบใกล้ชิดสู่การขีดเส้นความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจนขึ้นในปัจจุบัน และส่งผลต่อความต้องการของเจ้าของบ้านที่เปลี่ยนไป การจัดระเบียบพื้นที่ภายในบ้านจึงมีการลดสัดส่วนพื้นที่ส่วนกลางที่สมาชิกมักใช้ทำกิจกรรมร่วมกันจาก 40% ของบ้านทั่วๆ ไป มาเป็น 12% เพื่อรองรับการใช้งานร่วมกันเท่าที่จำเป็น ขณะเดียวกัน

(2)ยังมีการพบ #เบื่อพ่อแม่ ถูกทวีตกว่า 18,000 ครั้งบนทวิตเตอร์ และมีแนวโน้มมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งความจริงดังกล่าวได้นำไปสู่การลดขนาดและฟังก์ชั่นใช้งานของ family hall จากเดิมที่จะเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่และใช้ในการพบปะพูดคุย ไปสู่พื้นที่ขนาดเล็กลงและถูกหน้าที่ลงให้กลายเป็นเพียงแค่ทางเชื่อมเพื่อเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัวโดยไม่ต้องเห็นหน้ากันได้

นอกจากนี้ (3)ด้วยค่านิยมของคนไทยที่หันมาสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่มากขึ้น ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 120 ล้านออเดอร์ ห้องครัวของที่นี่จึงถูกออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด พร้อมอุปกรณ์ช่วยอุ่นอาหารแบบง่ายๆ อย่างไมโครเวฟเพื่อใช้ในการอุ่นอาหารของใครของมัน รวมถึงการสร้างช่องทางสำหรับใช้ในการรับส่งพัสดุและอาหารจากหน้าบ้านเข้ามายังพื้นที่ภายในสำหรับสนับสนุนการสั่งซื้อของทางออนไลน์และการสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ที่เพิ่มมากขึ้น ในส่วนโต๊ะทานอาหารก็สามารถดึงฉากกั้นได้จากเพดาน ซึ่งจะช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวขณะรับประทานและตอบรับกับพฤติกรรม(4)การใช้มือถือของคนไทยที่มากเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยโต๊ะทานข้าวที่สามารถแบ่งออกเป็นคอกๆ ดังกล่าวยังจะช่วยให้แสงและเสียงจากมือถือไม่ไปรบกวนกันและกันหากมีการใช้เครื่องมือสื่อสารหรือสมาร์ทดีไวซ์ต่างๆ พร้อมกัน ซึ่งมีการติดตั้งที่วางและที่ชาร์จเพื่อความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วย 

          เมื่อพื้นที่ส่วนกลางลดลง พื้นที่ส่วนตัวจึงมากขึ้นตามไปด้วย การออกแบบรายละเอียดที่ให้ความเป็นส่วนตัวในทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิตสำหรับสมาชิกแต่ละคนจึงเป็นโจทย์สำคัญของบ้านหลังนี้ เลย์เอาท์และลำดับการเข้าถึงพื้นที่ได้ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ให้สวนทางกับผังบ้านทั่วไป ที่เมื่อเข้ามาสู่ตัวบ้านสมาชิกจะสามารถเข้าสู่ห้องของส่วนตัวผ่านบันไดของแต่ละคนได้ทันที มีการแยกทางเข้าระหว่างห้องของผู้อยู่อาศัยแต่ละคนอย่างชัดเจนตามแกนทั้งสี่ของลักษณะแปลนบ้านแบบ X-Shape และเมื่อเวลาที่ต้องการใช้เวลาร่วมกับครอบครัวหรือใช้พื้นที่ส่วนกลาง สมาชิกก็สามารถเปิดประตูจากด้านในห้องส่วนตัวออกมาพื้นที่ตรงกลางของบ้านได้

          ในส่วนของห้องคุณพ่อ ถูกออกแบบให้สามารถรองรับ(5)พฤติกรรมของคนไทยที่ทำงานหนักทำงานหนักอันดับ 1 ของเอเชีย ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 10 ชั่วโมง / วัน โดยภายในจะมีความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งสกายไลท์ให้สามารถรับแสงธรรมชาติได้ การนำ LED มาใช้เพื่อให้มีคุณภาพแสงอย่างเพียงพอและสามารถปรับแสงสว่างให้เหมาะสมกับการทำงานได้ตลอดทั้งวัน รวมถึงการออกแบบพื้นที่ทำงานจะที่ช่วยสร้างเวิร์คโฟลว์ที่ดีและสามารถตอบสนองการทำงานแบบไร้รอยต่อได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม ขณะที่ห้องคุณแม่จะถูกดีไซน์สำหรับใช้ทำกิจกรรมและงานอดิเรกแบบที่ชอบ เป็นต้นว่าการออกกำลังกายภายในบ้าน หรือการมีมุมสำหรับสัตว์เลี้ยง หนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของครอบครัว  

          สำหรับห้องของลูกๆ เป็นการออกแบบให้สามารถใช้ชีวิตและทำกิจกรรมส่วนตัวได้ตามต้องการอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ผนังซ่อนเฟอร์นิเจอร์ที่องค์ประกอบจำเป็นอย่างโต๊ะ ตู้ เตียงจะถูกดึงออกมาใช้เมื่อต้องการ ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่ให้ทุกตารางเมตรถูกใช้อย่างคุ้มค่าและเป็นพื้นที่แบบอเนกประสงค์สำหรับใช้ทำกิจกรรมได้หลากหลาย หรือการออกแบบให้มีการซ่อนไฟตามผนัง อันเป็นดีเทลสำคัญที่จะช่วยเพิ่มอรรถรสและความเป็นมืออาชีพให้กิจกรรมยอดฮิตอย่างการปรากฏตัวบน live streaming ในสื่อโซเชียลมีเดียให้มีมากยิ่งขึ้น เป็นต้น

          The broken home จึงเป็นความพยายามของทีมชูใจและ IF ในการตีความ ‘บ้าน’ ด้วยมุมมองที่ต่างไปจากเดิม บ้านที่สะท้อนบริบทของคนในปัจจุบันที่มีความสัมพันธ์แบบ Living together but apart (อยู่ด้วยกันแบบต่างคนต่างอยู่) ซึ่งเกิดจากความตั้งใจของ ‘สัมมากร’ แบรนด์บ้านจัดสรรแห่งแรกของไทยที่เห็นความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของคนไทยมาเป็นเวลากว่า 50 ปี และต้องการที่จะสร้างบทสนทนาให้สังคมหันมามองพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ รวมไปถึงกระตุ้นให้คนหันกลับมาลองตั้งคำถาม ตลอดจนคิดถึงความสุขและคุณค่าในอีกด้านของชีวิต เพราะสัมมากรนั้นเชื่อว่า “ชีวิต(บ้าน)ที่มีความสุข ไม่ใช่แค่บ้านที่คนมาอยู่ร่วมกัน แต่คือบ้านที่คนในบ้านมีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ดี” นั่นเอง