รื้อแล้วคดีเผาสวนงูโอเอภูเก็ต หลังคดีถูกดองเค็มมา 5 ปี
แฉหลักฐานถึงตัวผู้จ้างวาน ทั้งๆที่หลักฐานแน่นหนาทั้งจากกล้องวงจรปิดและพยานบุคคลซัดทอดไปถึงกลุ่มบุคคลที่บุกเข้าไปทำร้ายรปภ.และเผาสวนงูที่ภูเก็ตรวมทั้งรู้ตัวผู้จ้างว่าน แต่คดีถูกดองเค็ม 5 ปี และ เมื่อร้องไปที่ตำรวจกองปราบ ตำรวจบอกให้ไปตามเรื่องที่ตำรวจท้องที่ตามขั้นตอนหากไม่คืบหน้ากองปราบจะรับเป็นคดีติดตามคลี่คลายเอง ในขณะที่ผู้กำกับท้องที่ บอกพร้อมส่านต่อเร่งติดไล่ล่ามือเพลิงพร้อมผู้จ้างวานต้องขอโทษที่เพิ่งมารับตำแหน่งใหม่ มั่นใจคดีนี้ผู้เสียหายต้องได้รับความเป็นธรรม จากข่าวที่ทายาทโอเอบุกร้องกองปราบเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2560ที่ผ่านมา เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีสวนงูที่โชว์ให้กับนักท่องเที่ยวที่ภูเก็ตถูกวางเพลิงโดยกลุ่มชายฉกรรจ์และทำร้ายพนักงานจนบาดเจ็บสาหัสจนพิการ เหตุเกิดมาตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ.2555 แต่คดีไม่คืบหน้า ทั้งๆที่มีหลักฐานชัดเจนว่าเกิดจากการถูกกลั่นแกล้งจากนักธุรกิจชาวจีนเจ้าชองธุรกิจให้เช่ารถทัวร์ สวนงู และค้าจิวเวอรี่ให้กับนักท่องเที่ยวเหมือนกับธุรกิจในเครือโอเอที่ และพยายามหาเหตุกลั่นแกล้งธุรกิจโอเอมาตลอด อาศัยความเป็นเครือญาติของอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จึงไม่มีใครกล้ามาต่อแยด้วย โดยเป็นการเดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผบก.ป.เพื่อให้ช่วยติดตามความคืบหน้าคดีทำร้ายร่างกายและคดีเผาบริษัท ภูเก็ตเฮลตี้ นูทรีเม้นท์ จำกัด โดยวันนั้น รองผบก.ป.ได้ให้กลุ่มผู้เสียหายเดินทางไปสอบถามกับพนักงานสอบสวนสภ.ฉลอง และที่กลัวว่าจะมีกลุ่มอิทธิพลคอยขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่
ตามข่าวนั้น เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2560 ที่สภ.ฉลอง จังหวัดภูเก็ต นายอนุชิต ไชยทองงาม อายุ 29 ปี อดีตพนักงานรักษาความปลอดภัย บริษัท ภูเก็ตเฮลตี้นูทรีเม้นท์ จำกัด บริษัทในเครือโอเอทรานสปอร์ต พร้อมนายณัฐพล จันทร์อุไร ทนายความ โดยนายอนุชิต ผู้เสียหาย เดินทางมาด้วยสภาพร่างกายที่พิการ พร้อมอาการกระทบกระเทือนทางสมอง เข้าร้องขอความเป็นธรรมกับ พ.ต.อ.ประชุม เรืองทอง ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรฉลอง จ.ภูเก็ต กรณีถูกทำร้ายร่างกายขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริษัท และมีการลอบวางเพลิงบริษัทเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2555 โดยร้องขอให้ทางตำรวจติดตามความคืบหน้าคดีให้ด้วย เนื่องจากว่ายังไม่สามารถจับผู้ต้องหานำมาลงโทษได้ ที่ผ่านมาคดีก็เงียบ และที่สำคัญคดีถูกยกฟ้องไปบางส่วนเมื่อต้นปี 2560 ทั้งๆ ที่มีสอบสวนพยานและรู้ตัวผู้ต้องหาทั้งหมดชัดเจน รวมถึงผู้จ้างวาน ซึ่งมีอยู่ในบันทึกคำให้การณ์เมื่อต้นปี 2559 ตนเองในฐานะผู้เสียหายมีความกังวลอย่างมาก อยากได้รับความเป็นธรรม เพราะตั้งแต่มีเรื่องเกิดขึ้นกับตนเอง ความจริงทุกอย่างก็อยู่ในมือตำรวจแล้วแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมคดีถึงถูกยกฟ้อง ทำให้ปัจจุบันตนอยู่อย่างหวาดระแวง และท้อใจมากในการใช้ชีวิตอยู่ เพราะจากสภาพร่างกายที่พิการ จากที่เคยเป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัว ก็ต้องเป็นภาระให้พ่อแม่ และสุดท้ายคดีความก็ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม วันนี้จึงเข้ามาเรียกร้องกับท่านผู้กำกับ สภ.ฉลอง ที่เข้ามารับตำแหน่งใหม่ ให้รื้อคดีให้ตนเองอีกครั้ง ด้าน พ.ต.อ.ประชุม เรืองทอง ผู้กำกับ สภ.ฉลอง กล่าวว่า ตนเองได้เข้ามารับตำแหน่งใหม่ที่ สภ.ฉลอง ได้ทราบเรื่องราวในเบื้องต้นแล้ว พร้อมจะให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย
โดยวันนี้ได้ให้นายอนุชิต ไชยทองงาม ผู้เสียหายให้ปากคำไว้ อีกครั้ง เพื่อเป็นพยานหลักฐานเพิ่มเติม รวมทั้งอยากเชิญเจ้าของบริษัทที่ถูกลอบวางเพลิงเข้ามาให้ปากคำเช่นกัน เท่าที่ทราบตอนนี้พบเอกสารการสอบปากคำพยานและผู้ต้องหาที่ให้การซัดทอดไปถึงผู้จ้างวานที่กองปราบฯส่งมาให้เมื่อปี 59 ไม่ได้ถูกส่งประกอบสำนวนฟ้องให้ทางอัยการ ซี่งตนจะปรึกษาอัยการอีกครั้งเพื่อรื้อคดีดังกล่าว” พ.ต.อ. ประชุม กล่าว แหล่งข่าวกล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีที่ชาวภูเก็ตให้ความสำคัญมาก พร้อมมีการพนันขันต่อกันว่าจะเป็นมวยล้มต้มคนดูหรือไม่ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าผลประโยชน์ด้านเม็ดเงินจำนวนมหาศาลจากการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องการการท่องเที่ยวมีมูลค่าสูงในแต่ละปีนับหมื่นล้านบาท และบริษัทโอเอก็เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการท่องเที่ยว ประกอบกิจการมายาวนานกว่า 30 ปี ซึ่งบริษัทที่เปิดใหม่ต่างหวังจะช่วงชิงเม็ดเงินทางด้านการตลาด และวันนี้ก็มีเพียง 4 บริษัทเท่านั้นที่ก้าวขึ้นมาเทียบชั้น โดยนำเม็ดเงินการลงทุนมาจากต่างประเทศ โดยชาวจีนอดีตเป็นไกด์เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ใช้กลยุทธ์แบ่งปั่นหุ้นส่วนบริษัทส่วนหนึ่งให้กับกลุ่มคนมีสี ทั้งนอกราชการและในราชการ แต่งงานกับหลานสาวนายตำรวจระดับสูงยศพล.ต.อ.และอดีตรัฐมนตรีสมัยเพื่อไทยเป็นรัฐบาลจนได้สัญชาติไทยเป็นผู้มาบริหารงานและดูแลกิจการ อีกทั้งยังเป็นอดีตนายตำรวจหญิงระดับสารวัตรอีกด้วย ทำให้ศักยภาพในการบริหารงานเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะบางสิ่งบางอย่างเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะไม่กล้าเข้าไปตรวจให้สอบหรือไปตอแยด้วย อาธิ การจอดรถทัวร์ในที่ห้ามจอด การใช้ไกด์เถื่อนจากต่างชาติ สินค้าละเมิด ข่มขู่คุกคามมัคคุเทศก์ และนักท่องเที่ยว ทำให้ค้าขายสะดวกสะบาย แหล่งข่าวจากกลุ่มไกด์กล่าวด้วยว่า การเติบโตแบบก้าวกระโดดของบริษัททัวร์แห่งนี้เพียง 5-6 ปีก็ก้าวชึ้นสู่บริษัทชั้นนำของประเทศไทย และความขัดแย้งอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นถึงขั้นเผาทำลายบริษัทโอเอคู่แข่งรายใหญ่ ซึ่งน่าแปลกที่หลักฐานพยานมัดแน่นเกือบทุกด้านแต่คดีกลับอืดอาดไม่คืบหน้า จึงเชื่อว่าคดีนี้คงจะจบลงที่ไม่มีอะไรในกอไผ่ คงจะเงียบไปเฉยๆ พร้อมกับการเติบโตของบริษัททัวร์ยักษ์ใหญ่รายใหม่ที่ถือหุ้นโดยผู้กองอดีตทหารคนดังและพล.ต.อ.อดีตนายใหญ่แห่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ