แฉเบื้องลึกขบวนการล้มโอเอ ใครได้ประโยชน์ถ้าโอเอ.ถูกคว่ำ ตื้น-ลึก-หนา-บาง ได้รู้กันใครเป็นใครใครคือจอมบงการ
วันนี้ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลาดพร้าว นายวสุรัตน์ โรจน์รุ่งรังสี น.ส.สายทิพย์ โรจน์รุ่งรังสี ทายาทกลุ่มธุรกิจเครือโอเอ นายอนุชิต ไชยทองงาม รปภ.ที่ถูกรุมทำร้ายจนชีวิตเปลี่ยน พร้อมด้วยนางยุพินผู้เป็นมารดา และนายอนันต์ แสงศรี ที่ปรึกษากฎหมาย ร่วมกันแถลงข่าวหัวข้อ “แฉเบื้องลึกขบวนการล้มโอเอ” โดย น.ส.สายทิพย์ กล่าวว่า สิ่งที่ครอบครัวโรจน์รุ่งรังสีต้องประสบพบเจอ มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่เคยกล้า แม้จะปริปากบอกกับใคร เพราะ ถ้าพูดไปก็อาจจะเป็นอันตรายกับตัวเรา หรือคนรอบข้างที่เรารัก จนถึงวันนี้ เราเหมือนกับคนที่ไม่มีที่ไป ไม่มีทางสู้ เพราะสิ่งที่เราเผชิญ คืออำนาจมืด
ที่ผ่านมาเราจึงเลือกที่จะเงียบ เพราะเราหวังลึกๆว่า อีกเดี๋ยวเรื่องร้ายๆก็จะจบลง เราจะได้มีโอกาสที่จะได้ลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง แต่แล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เรื่องกลับไม่จบ มิหน่ำซ้ำ เราทุกคนในครอบครัวจะโดนลบไปจากพื้นที่ทำมาหากินที่พวกเราได้ร่วมกันสร้างมา อาจจะต้องล้มแบบไม่เหลืออะไรเลย แถมยังจะมีหนี้สิ้นก้อนโตท่วมหัว ซึ่งเราไม่มีทางที่จะใช้หนี้สินได้หมดในชาตินี้ นอกจากเราจะโดนกระทำแล้ว ยังมีพี่น้องที่เป็นพนักงานของเราอีกนับหมื่นชีวิต ครอบครัวของพวกเขา กลุ่มธุรกิจชุมชนร่วมถึงพ่อค้าแม่ค้า คู่ค้าของเรา ที่ได้รับผลกระทบ จากสิ่งที่เกิดขึ้น เราคิดอยู่นานก่อนที่จะตัดสินใจออกมาแถลงข้อเท็จจริงในวันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้น ที่เราไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมดโดยเฉพาะการสั่งปิดกลุ่มธุรกิจในเครือโอเอ เป็นจุดพลิกพลันชะตากรรมของครอบครัวเรา ส่อเค้าลางขึ้นเมื่อปี 2554 มีชายชาวจีนคนหนึ่ง อดีตเคยเป็นไกด์มาก่อน ได้ติดต่อบริษัทของเรา เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของเรา แต่ทางเราได้ให้การปฏิเสธไป ต่อมาเขาได้แต่งงานกับคนไทย ซึ่งตอนนั้นเป็นตำรวจท่องเที่ยว เป็นหลานสาวของอดีต ผบ.ตร. และเคยเป็นรัฐมนตรี และก็เป็นเพื่อนสนิทกับอดีตนายทหารมาเฟีย หลังจากนั้นก็ได้เปิดธุรกิจที่ภูเก็ตการเปิดธุรกิจแข่งขันกัน เราก็มองว่าเป็นเรื่องปกติ ทางเราก็ไม่ได้คิดอะไร กระทั่งเดือนเมษายน 2555 ได้เกิดเหตุที่ไม่คาดฝัน ร้านค้าเราที่ภูเก็ตถูกวางเพลิง เสียหายและ น้อง รปภ. ถูกรุมทำร้ายจนพิการมาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากนั้นมา ก็จะมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น อย่างเช่น ลูกค้ามีการแจ้งถึงความไม่พอใจกับสินค้าของเรา เมื่อเราได้รับสินค้าคืน ก็พบว่า สินค้าที่ลูกค้านำมาคืนนั้นไม่ใช่สินค้าของร้านเรา เราได้พยายามอธิบายกับลูกค้า แต่ลูกค้าเกิดความรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องก็เริ่มหนักขึ้นเมื่อคู่ค้าที่ขายสินค้าให้กับเรา มีการวางบิลค่าสินค้าที่เราไม่ได้สั่งซื้อ พอเราสอบถามกลับไป ทางคู่ค้าแจ้งว่า มีคนของสาขาได้ติดต่อสั่งซื้อสินค้านี้ แต่ค้างจ้างมาช่วงระยะหนึ่ง เขาเลยตัดสินใจมาวางบิลกับทางเราที่กรุงเทพแทน ทำให้เราต้องทำจดหมายแจ้งกับทางคู่ค้าว่า มีการเกิดเข้าใจผิด ในขณะนั้น เราไม่ได้รู้สึกสะกิดใจเลย แค่รู้สึกว่า อาจเป็นเพราะความสับสนของชื่อที่คล้ายกัน เราจึงแก้ปัญหาด้วยการ เปลี่ยนชื่อ บริษัท เปลี่ยน packaging เพื่อตัดปัญหาความเข้าใจผิด ส่วนของคดีที่โดนวางเพลิงก็เงียบหายไปไม่มีความคืบหน้าทางคดี เราก็ไม่ได้ติดตามต่อ จนปี 2559 เมื่อคุณพ่อมาทราบว่า คดีวางเพลิงกำลังจะหมดอายุ ก็ได้ให้ทางสาขาลองติดต่อถึงความคืบหน้าของคดี เพราะเราก็อยากจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเจ้าหน้าที่ รปภ ที่โดนทำร้ายในคืนเกิดเหตุ โดนทำร้ายอย่างแสนสาหัส จนหลับหมดสติ อยู่หลายเดือน จนพิการ ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตที่ปกติเหมือนเดิมได้ แล้วอยู่ๆ สิงหาคม 2559 ทางบริษัทของเรา โดนเจ้าหน้าที่กว่า 300 นาย เข้าตรวจ พร้อมโดนข้อหาอั้งยี่ ร่วมกันกระทำความผิดให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว
แล้วหลังจากนั้น เราก็โดนเจ้าหน้าที่ หลายร้อยนาย เข้าตรวจค้นตลอดจนไม่สามารถที่จะประกอบกิจการได้ โดนยึดอายัดทรัพย์สิน บัญชีธนาคาร รถบัสกว่า 2000 คัน คุณแม่กับน้องชายคนเล็ก โดนข้อหาฟอกเงิน เพิ่มเติม ตอนไปรายงานตัวที่ สน. และโดนขัดค้านประกันตัว ถูกคุมขัง ตอนนั้น เราไม่รู้จะไปทางไหน ก็ได้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรม แล้วหลังจากนั้น ก็โดนแจ้งจับเพิ่ม คุณพ่อกับตัวของทิพย์เองก็ได้ไปมอบตัว แสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่กลับโดนจับคุมขัง ไม่ได้รับการประกันตัว ตลอดเวลา ที่ คุณพ่อ คุณแม่ น้องชายและตัวเรา โดนคุมขัง ไร้สิ้นอิสรภาพนั้น น้องชายอีกสองคนที่อายุไม่ถึง 30 ก็ต้องพยายามหาทางประกันตัวพวกเราออกมา เพื่อที่พวกเราจะได้ช่วยกันรวบรวมหลักฐาน ไปสู้คดี เรื่องก็ยิ่งกระหน่ำซ้ำ โดนหลอกบ้าง โดนกลั่นแกล้งบ้าง โดนขมขู่บ้าง จนพวกเราได้แต่เก็บเงียบรับชะตากรรมไป ได้แต่บอกตัวเองว่า นี้คงเป็นเคราะห์กรรมเก่า ที่เราอาจทำอะไรใครไว้ ในที่สุด ศาลก็อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว เราก็ไปตามกระบวนการยุติธรรมทุกประการ จนกระทั้ง วันที่ 25 สิงหาคม 2560 ศาลได้พิพากษา ยกฟ้อง ซึ่งพวกเราก็เข้าใจว่า ทุกอย่างจะจบด้วยดี แต่แล้วก็โดนเรื่องภาษีต่อ โดยได้รู้มาว่า เจ้าหน้าที่ได้รับความกดดันอย่างหนัก มีการแอบอ้างถึงผู้ใหญ่ของประเทศ เพื่อที่จะจัดการเราให้สิ้นซาก จนไม่ต้องผุดต้องเกิดกันเลย เราเลยตัดสินใจ แถลงข่าวครั้งแรก เพื่อจะขอความเมตตาจากสังคม ขอโอกาสให้พวกเราได้มีโอกาสที่จะลืมตาอ้าปาก มีที่ยืนในสังคม แต่สิ่งที่เราได้กลับมาคือ การคุกคาม การขมขู่ การติดตาม จนทุกวันนี้ เรารู้สึกไม่อยากจะตื่นเพื่อมาเห็นโลกนี้เลย เพราะเรากลัว กลัวว่าจะโดนอะไรอีก พอมีคนแนะนำให้เราต้องสู้ เราก็ต้องสู้ เพราะเราสูญเสียทุกอย่างแล้ว จนไม่รู้ว่าจะเสียอะไรอีกแล้ว เราเลยไปแจ้งความดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ เพื่อหยุดยั้ง การยัดเยียดข้อกล่าวหา แล้วเราก็ยังโดนข้อหาเพิ่มเติม กลุ่มบริษัทรถเช่าที่โดนเพิ่มเติม อยากจะขออธิบายเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่เริ่มต้น บริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด เป็นบริษัทเดียวที่โดนฟ้อง มีรถอยู่ในชื่อบริษัท ประมาณ 200 คัน แต่เราโดนยึดอายัดรถทั้งหมดที่เรามี กว่า 2000คัน ซึ่งเป็นรถที่อยู่ภายใต้ชื่อ บริษัททั้งหมดที่โดนแจ้งเพิ่ม สิ่งที่สะเทือนใจที่สุด ไม่ใช่เราโดนแล้วโดนอีก เพราะเราโดนกระทำแบบนี้มากว่า 1 ปี แต่เราไม่คาดคิดว่า เพราะเรา เราจะเป็นต้นเหตุ ให้ทำให้ผู้อื่นๆต้องลำบากไปกับเราด้วย นอกจาก ลูกค้าที่เป็นบริษัททัวร์ ที่โดนคุกคาม ข่มขู่ กลั่นแกล้งแล้ว พนักงานบริษัทของเรา คู่ค้าที่ขายสินค้าให้เรา หรือแม้แต่ ร้านค้าอื่นๆ ที่รถของเราได้ไปแวะตามโปรแกรมทัวร์ ก็พลอยโดนไปด้วย ทำให้บรรยากาศของการท่องเที่ยวที่มีความสุข ได้หายไป ทำให้คนหวาดกลัวที่จะค้าขายทำธุรกิจ ทำให้ขาดความเชื่อมั่นที่จะจับจ่ายใช่สอย ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกถึงความไม่มั่นใจและไม่ปลอดภัย นี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวดเป็นที่สุด ในวันนี้ เป็นวันที่เราขอพูดความจริง ซึ่งก็ไม่รู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีกกับพวกเรา ถ้าหลังจากวันนี้ เกิดอะไรขึ้นกับคนในคนหนึ่งในครอบครัวเรา หรือ คนรอบข้างที่เรารัก ก็ขอให้พี่ๆสื่อช่วยตามล่าหาความจริงด้วยนะคะ และครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ออกมาพูด และออกมาเรียกร้อง ตอนนี้เราเหมือนสุนัขจนตรอกที่ไม่มีที่ไป ความหวังสุดท้ายของเรา คือท่านนายกรัฐมนตรี ผู้ที่เราเชื่อว่าเป็นคนมีคุณธรรม มีความยุติธรรม และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้เสมอมา นอกจากที่เราจะไปร้องขอความเป็นธรรมกับท่านแล้ว เราก็จะไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับ ท่านนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.ศรีวราห์ ผู้ที่เราเชื่อว่าเป็นคนซื่อตรง มีความตรงไปตรงมา และกระทรวงยุติธรรม แต่ก่อนที่จะไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมถึงผู้ใหญ่ที่เอ่ยนามมา ช่วงบ่ายหลังจากนี้ทนายความจะพาน้อง รปภ.เข้าร้องกองปราบปรามเพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้วางเพลิง และผู้จ้างวาน ให้ถึงที่สุด และหากมีเวลาเหลือเราจะไปร้องขอความเป็นธรรมที่กระทรวงยุติธรรม ขอความเมตตาให้ท่านตรวจสอบกระบวนการทางคดีทั้งหมดว่า ทำไมถึงใช้เวลานานเหลือเกินกว่า 5 ปี